วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แพ้คดีใด มิได้หมายความว่าฝ่ายผู้แพ้เบิกความเท็จเสมอไป

คำพิพากษาต่อไปนี้คือคำตอบนั้น...


คดีแดงที่  1862/2511
นายมีชอง แซ่ฉิ่น โจทก์
นางพลอย แสนยงค์ ที่ 1 นายสนั่น แสนยงค์ ที่ 2 จำเลย



ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๑๘๐



ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใด และพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้นๆ เสมอไปเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว ก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้



…………………..……………………………………………………………..



โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบังอาจแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในคำฟ้องและในการพิจารณาคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๑๘๐, ๙๑ และ ๘๓

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยสาบานตนเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดีนั้น จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ส่วนข้อหาฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ นั้น พยานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ให้จำคุกคนละหนึ่งปี และยกข้อหาอื่น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใดและพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้น ๆ เสมอไปเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่า จำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้วก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์



(บัญญัติ สุขารมณ์ - วงษ์ วีระพงศ์ - จินตา บุณยอาคม )



ศาลอาญา - นายกิ่ง ศาลิคุปต์

ศาลอุทธรณ์ - นายจรัส ศรีวรรธนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น